หลายคนอาจจะเคยรู้แค่ว่าสุนัข และ แมวทุกตัวควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และพอรู้คร่าวๆมาว่า
โรคนี้เป็นโรคที่ติดถึงคนได้ และทำให้คนเสียชีวิตได้อย่างที่เป็นข่าวฮือฮาในช่วงนี้ แต่โรคนี้มันเกิดมาจากสาเหตุ
อะไรสังเกตได้อย่างไรว่าสุนัข และ แมวตัวใดป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า มีวิธีในการรักษา และ ป้องกันได้อย่างไร
วันนี้เราจะได้ทราบคำตอบของคำถามทั้งหมด
สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า ??
โรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส โดยเป็นเชื้อไวรัสชนิดที่อ่อนแอในสภาพแวดล้อม โดยเชื้อไวรัสตัวนี้
ถูกทำลายโดย ความร้อน แสงแดด ความแห้ง นอกจากนี้ยังถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำสบู่ และ ยาฆ่าเชื้อทั่วๆไป
แต่ถ้าเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเพียงพอ จะเข้าไปตามระบบประสาทของเรา จนสุดท้ายจะขึ้นไป
ยังสมอง และทำให้เรา แสดงอาการต่างๆของโรค และเสียชีวิตในที่สุด
การติดต่อของโรคนี้ ถึงจะมีชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าก็จริงแต่โรคนี้สามารถติดต่อไปยังสัตว์เลี้ยงลูก
ด้วยนมทุกชนิด นอกจากสุนัขแล้ว เรายังพบว่าคน แมว วัว ค้างคาว สัตว์ฟันแทะต่างๆ เช่น หนู กระต่าย ก็
สามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน สำหรับเส้นทางการติดต่อหลัก พบว่าในสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้าจะมีเชื้อ
อยู่ในน้ำลาย ส่วนใหญ่จะติดต่อเข้าทางบาดแผล ดังนั้นการถูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดจะเสี่ยงต่อการ
ติดโรคได้ค่อนข้างสูง แต่นอกจากนี้ยังพบวิธีการติดต่อที่ไม่ได้เกิดจากการกัด โดยเกิดจากการที่สัมผัสกับ
น้ำลายของสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ บริเวณบาดแผล เยื่อบุตา การข่วน แต่เกิดได้น้อยว่าการถูกกัดโดยตรง
ทีนี้เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าสุนัข หรือแมว ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า??
การที่สัตว์มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างกระทันหันจะเป็นสิ่งที่บอกได้ค่อนข้างดี เช่นเมื่อก่อนเคยเป็นสุนัขที่
ขี้เล่น ไม่เคยกัดใคร กลับมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเป็น ดุร้ายมากขึ้นกัดแม้กระทั่งเจ้าของตัวเอง โดยไม่ทราบสาเหตุ
การเดินเซ น้ำลายไหลยืด กลืนน้ำกลืนอาหารไม่ได้ รวมถึงการเป็นอัมพาต อาจจะเป็นการบ่งบอกว่าสัตว์ป่วย
เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
วิธีการรักษาโรคนี้มีหรือไม่??
ปัจจุบันการรักษาคนที่แสดงอาการของโรคพิษสุนัขบ้า ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในต่างประเทศ ส่วนใน
ประเทศไทยยังไม่มีวิธีในการรักษาผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า แต่ถ้าได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้า และยังไม่มีการแสดงอาการ
แล้วเข้าพบแพทย์ทันทีหลังจากสัมผัสเชื้อโรค จะสามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้
จะต้องทำอย่างไรถ้าเราถูกสัตว์ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด??
4 ข้อให้จำง่ายๆ นะครับ ภายหลังที่ถูกกัด ให้ 1.ล้างแผล 2. ใส่ยา 3. ขังหมา(แมว) 4. หาหมอ
การล้างแผล เป็นสิ่งที่ควรทำทันที่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทำการล้างแผลด้วยสบู่ อย่างที่ได้บอกข้างต้น
แล้วว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น ชนิดที่อ่อนแอ เพียงน้ำสบู่ก็สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ และสามารถลดจำนวนเชื้อที่จะ
เข้าสู่บาดแผลได้
การใส่ยา ยาที่ใช้ก็เป็นยาใส่แผลทั่วๆไปเช่น เบตาดีน(โพวิโดนไอโอดีน) ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือ แอลกอฮอล์
70% ที่ไว้ใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคก็สามารถใช้ได้ แต่ ไม่ควรใช้สิ่งอื่นใส่แผล เช่น น้ำปลา เกลือ หรือ ยาฉุน
เนื่องจากมันเป็นการนำเอาเชื้อโรคเข้าสู่แผล และยังไม่มีผลในการลดจำนวนไวรัสที่เข้าสู่ร่างการอีกด้วย
ขังหมา(แมว) ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าสุนัขที่กัดเราเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ เราควรกักตัวไว้อย่างน้อยเป็นเวลา
10วัน โดนในช่วงเวลานี้เราจะต้องให้อาหารและน้ำตามปกติ เนื่องจากโรคนี้มักจะสามารถแพร่โรคได้ใน
ช่วงเวลาไม่เกิน3 วันก่อนแสดงอาการ และ เมื่อสุนัขแสดงอาการมักจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
การกักตัวไว้นอกจากเพื่อให้เราสามารถสังเกตอาการได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้สุนัขที่อาจจะ
ป่วยเป็นโรคไปแพร่โรคให้กับคนอื่นหรือสัตว์อื่นๆต่อไปและถ้าพบว่าสุนัขมีการแสดงอาการของโรคและเสียชีวิต
ในช่วงเวลาที่กักตัวไว้ ให้สงสัยว่ามีโอกาสเป็นโรคสูง ควรทำการส่งซาก หรือตัดเฉพาะศีรษะของสุนัข แล้ว
แช่เย็นในกล่องใส่น้ำแข็ง แล้วทำการติดต่อกับอนามัย หรือ ปศุสัตว์ที่ใกล้ที่สุด เพื่อทำการยืนยันโรค
หาหมอ โดยการหาหมออาจจะไปหาทันทีหลังจากถูกสุนัขกัดเลยก็ได้ ถ้าเป็นสุนัขที่ไม่รู้จัก และไม่สามารถ
จับตัวมากักขังไว้ได้ เนื่องจากภายหลังการสัมผัสเชื้อ แต่ยังไม่มีการแสดงอาการของโรคจะเป็นช่วงที่คุณหมอ
สามารถป้องกันไม่ให้โรคทำอันตรายกับเราได้ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ถ้ามีการแสดงอาการของโรคแล้ว
วิธีการรักษาในประเทศไทยยังไม่มี นะครับ และเมื่อไปถึงควรแจ้งกับคุณหมอด้วยว่าเราเคยได้ทำการฉีด
วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนแล้วหรือไม่ ฉีดมานานแค่ไหน และควรให้คุณหมอดูแผลบริเวณที่ถูกกัดด้วย โดยส่วนมากถ้าเคยทำวัคซีนมากแล้วคุณหมอจะทำการให้วัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิเพิ่ม และ จะโดนฉีดยาไม่กี่เข็ม
แต่ถ้าไม่เคยทำวัคซีนมาก่อนเลย และถูกสุนัขที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคกัด อาจจะต้องถูกฉีดยาหลายเข็มหน่อย
(ปวดเอาการเลยแหละ)แต่อย่างไรก็ตามต้องขึ้นกับดุลยพินิจของคุณหมออีกทีด้วย
แล้วถ้าสุนัขที่เราเลี้ยงถูกสุนัขตัวอื่นที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดล่ะครับ??
ต้องขึ้นกับการทำวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าของตัวสุนัขแหละครับ เมื่อก่อนที่ทำวัคซีนอาจจะไม่เห็นความ
สำคัญแต่ถ้าสุนัขตัวนี้ไปถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดมา การที่เคยทำวัคซีนเป้นประจำจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ในข้อนี้ขออนุญาตตอบเป็น 2 กรณีนะครับ
กรณีที่สุนัขของเราได้รับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันนี้แนะนำให้ทำวัคซีนซ้ำอีกครั้งทันที และ ทำการ
กักตัวสุนัขของเราแยกจากตัวอื่นไว้เป็นเวลา 45 วัน โดยให้ข้าว ให้น้ำปกติ เพื่อสังเกตว่ามีการแสดงอาการ
ของโรคหรือไม่ ถ้าไม่มี ให้ปล่อยออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้ แล้วก็อย่าลืมไปทำวัคซีนต่อเนื่องเป็นประจำ
นะครับ อ่านแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่ายุ่งยากนะครับ แต่เรามาดูกรณีต่อไปดีกว่า
กรณีที่สุนัขไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนเลย หรือได้รับวัคซีนไม่ต่อเนื่อง หรือประวัติการทำวัคซีนไม่แน่ชัด
ในกรณีนี้ ตามข้อตกลงสากลให้ทำการ เมตตาฆาต(Euthanasia) หรือการทำการฉีดยาให้เสียชีวิต ทันที
หรือถ้าเจ้าของต้องการจะดูแลต่อ จะต้องทำดังนี้ครับ จะต้องทำการกักตัวสุนัขไว้เป็นเวลา 6 เดือน โดยให้ฉีด
วัคซีนทันทีหลังจากถูกกัด และ คอยสังเกตอาการ ถ้ามีการแสดงอาการของโรค ให้ทำการเมตตาฆาตทันที
แต่ถ้าไม่มีการแสดงอาการใดๆ1 เดือนก่อนปล่อยตัวให้ทำการฉีดวัคซีนอีกครั้งแล้วค่อยทำการปล่อยไปใช้
ชีวิตตามปกติและที่สำคัญควรต้องทำวัคซีนเป็นประจำต่อเนื่องต่อไป
สำหรับโรคนี้การป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เนื่องจากการรักษาในคนที่แสดงอาการของโรคยังไม่สามารถ
ทำได้ในประเทศไทย และยังไม่มีวิธี การรักษาในสุนัข และ แมวที่แสดงอาการของโรค โรคนี้ต้องเรียกได้
ว่าถ้ามีการแสดงอาการแล้ว ตายอย่างเดียว แต่การป้องกันโรคนี้ทำได้ไม่ยากนัก สำหรับสุนัขและแมว การทำ
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้ครบตามที่คุณหมอกำหนด ก็เพียงพอแล้วที่จะป้องกันโรค (ส่วนใหญ่ให้ทำ
ปีละ 1 ครั้งเท่านั้นครับ) แต่สำหรับคน ถ้าอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และ เป็นบุคคลที่ต้องสัมผัสกับสุนัขอยู่เสมอ ก็ควรทำ
วัคซีนป้องกันไว้ ก่อน โดยจริงๆแล้วประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีการระบาดของโรคอยู่ แต่สำหรับในคนที่ไม่ได้
ทำวัคซีนเลย การไปหาคุณหมอหลังจากถูกสุนัขกัดแล้วถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆครับ สำหรับคนที่ทำแล้วภายหลัง
โดนสุนัขที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดก็ควรไปพบคุณหมอเพื่อทำการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไปครับ